A collaborative and participatory art project 2023
Project by: Baan Noorg Collaborative Arts and Culture (Collective of Artists and Creatives)
Project members: Jiradej Meemalai, Pornpilai Meemalai, Shin Tong Lo, Krittaporn Mahaweerarat, Awika Samuksaman, Parichat Tanapiwattanakul, Chiara Giardi
บทนำ
ไท-ยวน กลุ่มชาติพันธ์ซึ่งถูกเทครัวกวาดต้อนโยกย้ายแผ่นดินถิ่นฐานจากเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน เมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว อันเป็นผลพวงจากสงครามในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ยุทธศาสตร์การตัดกําลังประชากรของรัฐอื่น และความต้องการเติมเต็ม ประชากรให้กับหัวเมืองชั้นในของกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางประชากรและแรงงานในการฟื้นฟูบ้านเมือง รวมถึงสร้างความมั่งคั่งจากการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้าแผ่นดินในรูปแบบของแรงงานและการเก็บส่วย (นราธิป ทับทัน และ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, 2560: 31)
ชาวไท-ยวนเชียงแสนครั้งนั้นได้รับความทุกขเวทนา ด้วย “ข้าพลัดเจ้า ลูกเต้าพลัดพ่อ-แม่ ผัวพลัดเมีย คนพลัดพรากจากกันเป็นทุกขเวทนามากนัก” ต้องออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนด้วยสองทางเลือกคือ “จะไปหรือจะตาย” ในวันเสาร์ เดือน 10 แรม 1 ค่ำ ปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) เมื่อทัพเชียงใหม่ ทัพลำปาง ทัพน่าน ทัพแพร่ ทัพเวียงจันทน์และทัพสยาม มีชัยต่อพม่าที่ปกครองเมืองเชียงแสนในขณะนั้น แล้วทำการรื้อทำลายกำแพงและจุดไฟเผาบ้านเรือน กวาดต้อนเอาครอบครัว ช้างม้าโคกระบือ เครื่องสรรพศัสตราวุธ ทรัพย์สิ่งของ เครื่องวัตถุอัญมณี ฯลฯ
โดยจัดแบ่งไพร่พลชาวเชียงแสนประมาณ 2300 คนเศษ ออกเป็น 6 ส่วน มอบแก่เมืองนครเชียงใหม่หนึ่งส่วน เมืองนครลำปางหนึ่งส่วน เมืองนครน่านหนึ่งส่วน เมืองนครแพร่หนึ่งส่วน เมืองเวียงจันทน์หนึ่งส่วน และอีกส่วนหนึ่งถวายแด่สยาม โดย 4 ใน 6 ส่วนยังอาศัยในดินแดนล้านนา อีก 1 ส่วนไปอยู่ล้านช้าง (ภูเดช แสนสา: 2018, 20) ซึ่งปัจจุบันคือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และอีกส่วนถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ซึ่งต่อมารับสั่งให้พระเจ้าหลานเธอกรมหลวงเทพหริรักษ์พร้อมทั้งพระยายมราช พาชาวไท-ยวนส่วนนี้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองสระบุรี และเมืองราชบุรี
ชาวไท-ยวนในเขตพื้นที่จังหวัดราชบุรีซึ่งเดินทางมากับทัพสยาม ก่อนที่จะมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นี้ได้พำนักอยู่ที่กรุงเทพฯ แถวบางขุนพรหมระยะหนึ่งก่อนเดินทางลงมายังเมืองราชบุรี และมาตั้งบ้านเรือนบริเวณริมฝั่งขวาของแม่น้ำแม่กลอง เรียกว่า “หมู่บ้านไร่นที” (ภาษาไท-ยวน เรียกขานว่าเมืองละพี) ชาวไท-ยวนจากเมืองเชียงแสน นำโดยหนานฟ้าและหนานขัน (นราธิป ทับทันและ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, 2560: 23) ต่อมาชาวไท-ยวนจากไร่นทีได้ขยายครัวเรือนออกไปตั้งหลักแหล่งอยู่อีกหลายพื้นที่ อาทิ เขตอำเภอเมืองราชบุรี ในพื้นที่ตำบลคูบัว ตำบลดอนตะโก ตำบลดอนแร่ ตำบลอ่างทอง ตำบลห้วยไผ่ ตำบลเจดีย์หัก ตำบลหินกอง ชาวไท-ยวนเหล่านี้ได้สร้างวัดไว้เพื่อบำเพ็ญบุญ เช่น วัดคูบัว วัดดอนตะโก วัดใหญ่อ่างทอง วัดนาหนอง วัดเขาลอยมูลโค วัดใหม่นครบาล เป็นต้น ส่วนในเขตอำเภอโพธาราม ชาวไท-ยวนได้ตั้งรกรากในพื้นที่ตำบลบางกะโด และในพื้นที่ตำบลหนองโพนั้นชาวไท-ยวน ตั้งบ้านเรือนกระจายตัวอยู่หลายหมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านใต้ หมู่ 2 บ้านนอก หมู่ 4 บ้านต้นตาล หมู่ 5 บ้านไร่ หมู่ 6 บ้านหนองโพ และหมู่ 8 บ้านหัวทุ่ง โดยมีวัดที่สร้างขึ้นคือ วัดหนองโพ (หรือวัดหนองแขมในอดีต)
คำว่าไท-ยวน นอกจากหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูลภาษาไท-กะได (Tai-Kadai) ในกลุ่มภาษาเชียงแสนแล้ว (นราธิป ทับทัน และ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, 2560: 262) ยังมีนัยถึงความเป็นอื่น ความเป็นคนนอก และความหมายในเชิงวัฒนธรรมการเมืองที่สัมพันธ์กับรัฐชาติไทย ดังปรากฏคำว่า ยวนในสำเนาร่างประกาศตั้งกงศุลเมืองสิงคโปร์ พ.ศ.๒๔๐๖ (คศ.1863) สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ความว่า “กรุงสยามเปนใหญ่ได้ครอบครองพระราชอาณาจักรสยามราษฎร แวดล้อมด้วยนานาประเทศราชชนบทต่างๆ อาทิ ลาวโยน หรือยวน เป็นต้น ในทางกลับกัน ธเนศวร์ เจริญเมือง มองว่ายวนหรือไท-ยวนเป็นคำที่ใช้จำแนกความแตกต่าง ระหว่างชาติพันธ์ุของตนกับชาวสยามและพม่า คำว่าไท-ยวนจึงมีนัยแสดงถึงตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมในพื้นที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจอีกด้วย ดังนั้นคำว่ายวน จึงมิได้บ่งบอกถึงชาติพันธ์ุเพียงเท่านั้น หากยังระบุถึงพื้นที่และสถานที่ (place and space) รวมถึงนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาแบบเถรวาท ซึ่งเรียกว่านิกายโยนหรือยวน(Yuan Buddhism) ที่ในอดีตผู้คนให้ความศรัทธา ยึดถือ และปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย ดังปรากฏผ่านงานศึกษาของ Charles F. Keyes (b. 1937-2022) ซึ่งระบุว่าโยนหรือยวน คือพื้นที่ที่เกิดการสถาปนาอำนาจ ตั้งหลักปักฐานสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นจนถึงระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “รัฐชนชาติ” ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เรื่อยมาในบริเวณแถบลุ่มน้ำโขงตอนบน ซึ่งเชื่อกันว่าคือบริเวณอำเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน (วสันต์ ปัญญาแก้ว, 2550: 238)
คำสำคัญ: พลัดถิ่น, ชาติพันธ์ุ, พื้นที่, การสืบทอด, พันธุกรรม
แนวคิดการสร้างสรรค์ผลงาน Tai Yuan Return: On Transmission and Inheritance
ตัวตน ชาติพันธ์ุ และการพลัดถิ่น
กระบวนทัศน์การศึกษาชาติพันธ์ุสัมพันธ์ (ethnicity) ให้ความสนใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมของคนภายในกลุ่มชาติพันธุ์ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตประจำวันของผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งความสัมพันธ์ที่มีกับประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระบวนการสร้างชาติ นโยบายของรัฐที่ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์ โดยนำเสนอแนวทางการอธิบายและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางสังคม ด้วยแนวคิดพรมแดนทางชาติพันธุ์ (the boundary of ethnic groups theory) แทนการยึดถือเอาลักษณะทางวัฒนธรรมเป็นเกณฑ์กำหนดเพื่อนิยามความแตกต่างทางชาติพันธ์ุ Fredrik Barth (b. 1928 – 2016) ได้อธิบายแนวคิดเรื่องเส้นขอบเขตอันยืดหยุ่นของความเป็นชาติพันธุ์ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว มีการปรับเปลี่ยนไปตามบริบททางสังคม และไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดด ๆ โดยตัวของมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งกับกลุ่มชนอื่น ๆ ในสังคม (รัตนา บุญมัธยะ, 2546: 123-124)
Barth ชี้ว่าพรมแดนทางชาติพันธุ์คือสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน หากแต่ผู้คนที่เป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ย่อมมีการเลื่อนไหลหรือก้าวข้ามพรมแดนดังกล่าวได้ สิ่งสำคัญก็คือแม้ผู้คนจะก้าวข้ามพรมแดนทางชาติพันธุ์ แต่พวกเขายังคงธำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์เดิม โดยไม่ได้ละทิ้งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตัวเองเพื่อเปลี่ยนมาเป็นอัตลักษณ์แบบสังคมกระแสหลัก และยังคงไว้ซึ่งความแตกต่างและนำเอาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือนำอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตัวมาเป็นกลไกในการต่อรองเชิงอำนาจทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ท่ามกลางความสัมพันธ์กับอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม (ประสิทธิ์ ลีปรีชา, 2557: 229)
กลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวนพลัดถิ่น ที่อาศัยกระจัดกระจายกันอยู่หลายพื้นที่ในประเทศไทย ต่างประสบกับบริบททางสังคมที่รัฐชาติ และกระแสโลกาภิวัตน์ขยายตัวแผ่อิทธิพลมากขึ้น การสร้างภาษาไทยกลางเป็นภาษาแห่งชาติ เป็นวาทกรรมที่สร้างการควบคุมและการผลิตชุดความรู้และความหมาย ด้วยปฏิบัติการทางเทคโนโลยีแห่งอำนาจผ่านการใช้ภาษาไทยกลางในระบบโรงเรียนของรัฐทั่วประเทศ จึงเป็นเสมือนการจัดการระบบอาณานิคมภายใน (internal colonialism) ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างสำคัญตามมาเมื่อชาวไท-ยวนในภูมิภาคต่าง ๆ ของรัฐไทย ต่างรับเอาวาทกรรมของรัฐว่าด้วยเรื่องอัตลักษณ์ความเป็นภาษาแห่งชาติเข้ามาควบคุม เพื่อ “รื้อถอน” สำนึกท้องถิ่นให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ “พลเมืองรัฐชาติ” (วสันต์ ปัญญาแก้ว, 2550: 239) การโยกย้ายไปสู่พื้นที่ใหม่ของกลุ่มชาติพันธ์ไท-ยวนนอกเขตแดนวัฒนธรรมดั้งเดิมโดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณตอนกลางของประเทศไทย (นราธิป ทับทัน และ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, 2550:31) ส่งผลให้การคำนึงถึงถิ่นฐานบ้านเกิดกลายเป็นเพียงจินตนาการแห่งความปรารถนาที่ให้ความรู้สึกถึงสถานที่ที่ไม่มีวันได้หวนกลับไป นอกเสียจากการกลับไปสู่เขตแดนทางภูมิศาสตร์ในฐานะผู้มาเยือนเท่านั้น (Nagendra Bahadur Bhandari, 1996: 188)
การขยายตัวของลัทธิทุนนิยมกับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการหลอมรวม เอาผู้คนต่างชาติพันธุ์ภายในประเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสมัยใหม่เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ (ethnic change) Michael Hechter (b. 1943-) มองว่าอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มีลักษณะเป็นกระบวนการ (process) ที่ไม่อาจพิจารณาแยกขาดออกจากความสัมพันธ์กับหน่วยทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างกลุ่มชนผู้มีอำนาจ (dominant group) กับกลุ่มที่ด้อยอำนาจกว่า (subordinate group) ซึ่ง Keyes เสริมว่าตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ในลักษณะเช่นนี้ เกิดขึ้นภายใต้กระบวนการทางการเมืองของการสร้างรัฐประชาชาติสมัยใหม่ มันจึงสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา (รัตนา บุญมัธยะ, 2546: 124)
เมื่อเรามองอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไท-ยวนในบริบทความสัมพันธ์กับรัฐชาติ จะพบว่าการครอบงำของกระบวนการจัดจำแนก และสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์โดยรัฐชาตินั้นไม่อาจกระทำได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แต่มักถูกตรวจสอบตอบโต้และตีความใหม่อยู่เสมอจากกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งการตอบโต้ดังกล่าวอาจเลือกกระทำผ่านการรื้อฟื้น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือแม้แต่การสร้างแบบจำลองใหม่เพื่อแสดงตัวตนต่อสังคมภายนอก ในแง่นี้อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงเป็นอัตลักษณ์กระทำการ (active identity) ที่พยายามขยับเขยื้อนกรอบอัตลักษณ์ประดิษฐ์ที่หยุดนิ่งตายตัว ให้กลายเป็นกระบวนการที่เป็นอเนกลักษณะ (multiple identification) (ปิ่นแก้ว เหลืองร่ามศรี, 2546: 21) เพื่อเปิดพื้นที่ในการแสดงตัวตนให้มีขอบเขตที่ขยายกว้างและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการใช้อัตลักษณ์ของกลุ่มในการสร้างสำนึกร่วมท้องถิ่นนิยมให้ปรากฏชัดเจนมากขึ้น
แนวคิดการสร้างสรรค์ผลงาน Tai Yuan Return: On Transmission and Inheritance
โครงการศิลปะร่วมสมัยในประเด็นการนำพาไท-ยวนกลับบ้าน เป็นหัวข้อที่ตั้งคำถามและแสวงหาความเป็นไปได้ต่อแนวทางปฏิบัติ โดยการรื้อสร้าง (reconstruct) แบบจำลองอัตลักษณ์ทางชาติพันธ์ุท่ามกลางความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียม ภายใต้กรอบคิดแบบรัฐชาติ การสร้างสำนึกเชื่อมโยงแผนภูมิต้นไม้ทางพันธุศาสตร์ของชาวไท-ยวน ได้รับสืบทอดและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น คือสิ่งที่กลุ่มบ้านนอกความร่วมมือทางศิลปวัฒนธรรม พยายามทำความเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางสังคมของชาวไท-ยวนพลัดถิ่นในเชิงภววิทยา(Tai Yuan Disapora Ontology) โดยอาศัยพื้นที่ตำบลหนองโพ จังหวัดราชบุรีและพื้นที่เมืองเชียงแสนเป็นกรณีศึกษา ซึ่งทั้งสองพื้นที่มีความเหมือนและความต่างที่น่าสนใจ เช่นสภาวะการพลัดถิ่นและการเป็น (being) ไท-ยวนที่จางหายไป รวมถึงความพยายามแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ ที่ฝังแฝงหลบซ่อนภายใต้กระแสค่านิยมความเป็นไทยที่กดทับอยู่
บ้านนอกฯ อาศัยกระบวนการทางศิลปะความร่วมมือและการมีส่วนร่วม ระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ไท-ยวนผ่านตัวแทนสมาคมไท-ยวนแห่งประเทศไทย และผู้ชม ขับเคลื่อนให้เกิดการกลายสู่ (becoming) การสร้างอัตลักษณ์กระทำการ (active identity) และการสร้างอัตลักษณ์เชิงกระบวนการในแบบอเนกลักษณะ (multiple identification) เพื่อนำพาชาวไท-ยวนพลัดถิ่น ย้อนกลับไปสู่เขตแดนบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยการสร้างความทรงจำร่วม (collective memory) ทางสังคมผ่านวัตถุภาวะ ภายใต้พื้นที่ซ้อนทับเชิงภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ เพื่อประกอบสร้างความหมายและความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างชาวไท-ยวนพลัดถิ่น กับสถานที่แห่งจิตนาการของความปราถนาในการหวนคืน
ชาวไท-ยวนหนองโพในฐานะกลุ่มชาติพันธ์ุพลัดถิ่น ซึ่งแยกตัวออกจากเขตแดนทางวัฒนธรรมดั้งเดิม ส่งผลให้การสืบค้นทางวัฒนธรรมเชื่อมโยงกับกลุ่มชาติพันธ์ุเดิมเป็นไปได้ยากภายใต้บริบททางสังคม-การเมืองที่แปรเปลี่ยนไป อีกทั้งกระแสไหลบ่าของโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญเมื่อพื้นที่ชุมชนหนองโพ ได้พลิกกลบผืนนาให้กลายเป็นทุ่งหญ้าเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงปศุสัตว์-โคนม ด้วยการสนับสนุนผ่านนโยบายของรัฐ มีผลให้วัฒนธรรมนาข้าวที่เกาะเกี่ยวเชื่อมโยงสัมพันธ์กับประเพณีความเชื่อ และวิถีการดำรงชีวิตของชาวไท-ยวนเสื่อมหายไป
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการสร้างความหมายและสัญญะต่อวัตถุภาวะ ในฐานะผู้กระทำการส่งต่อ และสืบทอดพันธ์ุกรรม (transmission and inheritance) ความเชื่อมโยงระหว่างตัวเราในฐานะทายาทกับกับความเชื่อเรื่องผีในฐานะบรรพบุรุษ คือการมีอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ชีวิตและชีวิตหลังความตาย มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ วัตถุกับสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุ อากาศกับความว่าง ฯ การสร้างบทสนทนาข้ามไปมาภายใต้ความสัมพันธ์นี้ คือการตั้งคำถามต่ออนาคตและวิพากษ์ปัจจุบัน โดยมีนัยสำคัญเพื่ออธิบายทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมของสภาวะพลัดถิ่นชาวไท-ยวนในภาพรวมอีกด้วย
แนวทางและกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานฯ
แนวทางและกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานฯ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกันประกอบด้วย
1.แนวทางและกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานฯ ในพื้นที่เชียงแสน ต้นทางของการอพยพโยกย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวน
2.แนวทางและกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานฯ ในพื้นที่ตำบลหนองโพ ปลายทางที่กลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวนลงหลักปักฐานสร้างบ้านเรือนมากว่า 200 ปี
1. พื้นที่เชียงแสน
โครงการไท-ยวน กลับบ้าน: การส่งต่อ และพันธุกรรม เป็นผลงานศิลปะร่วมสมัยที่อาศัยความร่วมมือ (collaborative) ของชาวไท-ยวนพลัดถิ่นผ่านตัวแทนสมาคมไท-ยวนแห่งประเทศไทยและการมีส่วนร่วม (participatory) จากผู้ชม เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ในสภาวะของการกลายสู่ (becoming) ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำและรื้อสร้างแบบจำลองอัตลักษณ์ขึ้นใหม่ เพื่อเน้นย้ำการมองเห็นและปรากฏแสดงถึงสภาวะชั่วขณะ โดยเสนอความเป็นจริงที่ว่าการนำชาวไท-ยวนพลัดถิ่นกลับบ้าน เป็นเพียงจินตนาการแห่งความปรารถนา แต่ถึงกระนั้นความพยายามดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และการเชื่อมโยงตนเองกับพื้นที่ (เมืองเชียงแสน) ทั้งในเชิงสัญลักษณ์ เชิงภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม
ลมหายใจของบรรพบุรุษไท-ยวนที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ สามารถก่อตัวขึ้นในเชิงรูปธรรมได้อย่างไร เพื่อให้ปรากฏต่อการรับรู้ในแง่บริบทและความคิด ในกรณีนี้การสร้างสถาปัตยกรรมแบบไร้รากฐานและการบรรจุอากาศเข้าไปในความว่างเปล่า ร่วมถึงการฝังวัตถุภาวะหรือผีบรรพษุรุษลงในสถาปัตยกรรมแห่งความว่างนั้นอีกชั้นหนึ่ง เป็นการร้อยเรียงรูปสัญญะของการถักทอความเป็นเครือญาติผ่านผ้าผืนตีนจก ซึ่งทำหน้าที่เป็นวัตถุพยานและผู้กระทำการที่สามารถอธิบายมิติความเชื่อมโยงระหว่างความหมาย และสัญญะที่ซ้อนอยู่ภายในสถาปัตยกรรมเป่าลม (inflatable air architecture) ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อผลิตซ้ำการสื่อความหมาย การสร้างอัตลักษณ์ และตัวตนทางสังคมวัฒนธรรมและการเมือง
1.1 สถาปัตยกรรมเป่าลม(inflatable air architecture) ทำหน้าที่เป็นภาชนะเก็บกักอากาศที่ดูดเข้าไปภายใน ความยืดหยุ่น ความไม่คงสภาพ และความแฟบพองของอากาศภายใน อุปมาได้ถึงการสร้างความมีชีวิตให้กับวัตถุ สภาวะชั่วขณะที่เกิดขึ้นและจางหาย วนเวียนต่อเนื่องไปตลอดระยะเวลาการจัดแสดงผลงานฯ การอัดแน่นของอากาศจากภายนอกเข้าไปภายในเพื่อให้ปรากฏรูปทรงนั้น เป็นกระบวนการที่อาศัยสภาพแวลล้อมตามธรรมชาติโดยรอบพื้นที่ติดตั้งผลงานฯ ภายในเขตพื้นที่กำแพงเมืองเชียงแสน อากาศที่ถูกดูดอัดเข้าไปนั้นคือความว่างเปล่าซึ่งถูกจำกัดไว้ในรูปทรงของสถูปเจดีย์องค์หนึ่งที่ไม่เคยปรากฏ มันแสดงถึงสิ่งที่ไม่เคยปลูกสร้างหรือสิ่งที่ไม่สามารถปลูกสร้าง (unbuilt or unbuildable) ซึ่งเผยให้เห็นถึงความมีอยู่ในความว่าง หรือการแสดงตัวตนในความหมายของความว่างเปล่าภายในศูนย์กลาง และการสลายศูนย์กลางในเวลาเดียวกัน
สถาปัตยกรรมเป่าลม ถูกออกแบบแยกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
สถาปัตยกรรมเป่าลมรูปทรงสถูปเจดีย์หนึ่งส่วน ภายในใจกลางสถูปเจดีย์มีกล่องแก้วชนิดหนาทึบปิดผนึกสูญญากาศ บรรจุผ้าตีนจกที่ใช้คลุมศพปราชณ์ไท-ยวนท้องถิ่นติดตั้งอยู่
สถาปัตยกรรมเป่าลมรูปทรงฐานวิหารอีกหนึ่งส่วน เป็นส่วนที่ผู้ชมสามารถถอดรองเท้าขึ้นไปเดิน และนั่งเล่นได้ ที่ฐานวิหารเป่าลมฯ ภายในติดตั้ง contact microphone และต่อเชื่อมกับ USB audio interface และ Controller เพื่อรับสัญญาณ์เสียงของการอัดอากาศภายในฐานวิหารเป่าลมฯ ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ของผู้ชมที่เคลื่อนไหวไปยังพื้นผิว ด้วยอาศัย controller เชื่อมต่อไปสู่ลำโพงจำนวน 4 ตัว ติดตั้งสี่มุมโดยรอบฐานวิหารเป่าลมฯ และเพื่อที่จะกำหนดเสียงที่ได้ยิน และจังหวะการให้เสียงค่อยๆ เริ่มจากเบาไปหาดัง และค่อยๆกลับไปสู่เบา โดยให้โปรแกรมรีเซทตัวเองทุกครั้งตามระยะเวลาที่กำหนด ต่อเนื่องกันไปเป็นลูป เป็นแอมเบียนต์ของเสียงซึ่งเกิดขึ้นจากสภาวะการสั่นไหวโดยการสัมผัส
สถาปัตยกรรมเป่าลมทั้งสองส่วนดังกล่าว มีขนาดสัดส่วนเท่ากับสถูปเจดีย์และฐานวิหารองค์ใดองค์หนึ่งภายในกำแพงเมืองเชียงแสน สร้างขึ้นจากวัสดุ……ชนิดหนาใช้พัดลมดูดอากาศเป็นตัวปั้มให้รูปทรงสถูปเจดีย์และฐานวิหาร พองตัวขึ้นและแฝบลงเมื่อปิดพัดลมดูดอากาศ
1.2 พิธีชักผ้าบังสุกุล คำว่าบังสุกุล แปลว่า กองฝุ่น, เปื้อนฝุ่นฯ เป็นคำใช้เรียกผ้าที่ภิกษุชักจากศพ หรือกล่าวอีกแง่หนึ่งคือเป็นพิธีชักผ้าที่เปื้อนฝุ่นออกจากศพผู้ตาย ซึ่งเป็น กระบวนการที่เชื่อมโยงเราในปัจจุบันเข้ากับผู้ล่วงลับในอดีต และมีนัยยึดโยงกับความเชื่อของมนุษย์ต่อสิ่งที่มองไม่เห็น การทำพิธีสงฆ์ในกรณีนี้จึงมิใช่เป็นเพียงการแสดงออกซึ่งความเคารพเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมตัวกันของตัวแทนสมาคมไท-ยวนแห่งประเทศไทยในการบำเพ็ญกุศลต่อผู้ล่วงลับ รวมถึงการบรรจุความหมายในเชิงสัญลักษณ์ถึงการกลับคืนสู่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์อีกด้วย
พิธีชักผ้าบังสุกุล เป็นพิธีทางศาสนาซึ่งทางโครงการฯ ร่วมมือกับสมาคมไท-ยวนแห่งประเทศไทยและผู้ที่สนใจ นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 10 รูป สวดอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับในช่วงเช้า และถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ จากนั้นในช่วงบ่ายกิจกรรมเสวนา โดยตัวแทนสมาคมไท-ยวนแห่งประเทศไทย นักวิชาการ ตัวแทนจากผู้จัดงานThailand Biennale 2023 และตัวแทนจากบ้านนอกฯ ร่วมกับเสวนาในหัวข้อ Tai Yuan Return: On Transmission and Inheritance
2. พื้นที่ตำบลหนองโพ
โครงการไท-ยวนหนองโพพลัดถิ่น: การส่งต่อ และพันธุกรรม เป็นผลงานศิลปะร่วมสมัยที่อาศัยความร่วมมือ (collaborative) ของชาวไท-ยวนพลัดถิ่นจากพื้นที่กรณีศึกษาในพื้นที่จังหวัดราชบุรี และการมีส่วนร่วม (participatory) ของผู้คนในชุมชนหนองโพ
โครงการ Baan Noorg Biennial เป็นโครงการที่ดำเนินงานต่อเนื่องตลอดมาทุก ๆ 2 ปี ซึ่ง Baan Noorg Biennial ประจำปี 2023 ทางบ้านนอกได้จัดให้มีกิจกรรมย่อยหลายโครงการ อาทิเช่น โครงการจิตรกรรมบนผนังและกำแพง (mural paint) ในพื้นที่ชุมชนหนองโพ, และโครงการแผนที่ดิจิทัลชุมชนฯ ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการคู่ขนานไปกับโครงการ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ที่เมืองเชียงแสน
การอาศัยผู้คนในพื้นที่ชุมชนหนองโพร่วมกันขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีเป้าหมายในการรื้อสร้างอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวนในพื้นที่ชุมชนหนองโพ ให้สามารถดำรงตนอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างการมองเห็นจากภายนอก ให้รับรู้ความมีอยู่ของกลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวนหนองโพ และเป้าหมายเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนฯ ให้เกิดการยกระดับด้วยแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ โดยอาศัยศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นสื่อกลาง
เรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ในพื้นที่ชุมชนหนองโพ ซึ่งกลายเป็นปมปริศนาที่เป็นมรดกตกทอด การรื้อฟื้นความทรงจำและการรื้อสร้างหรือการสร้างแบบจำลองขึ้นใหม่ จึงมีความจำเป็นในเวลาเดียวกัน เพื่อสร้างการมองเห็นแก่กลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวนหนองโพจากกลุ่มคนภายในชุมชนกันเองและจากคนภายนอก ด้วยอาศัยภาพวาดจิตกรรมบนผนังและกำแพงบริเวณโดยรอบภายในชุมชนฯ ให้เป็นเสมือนแผนที่ทางวัฒนธรรม หรือป้ายบอกตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมที่กลุ่มชาติพันธ์ุไท-ยวนหนองโพ มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนอื่น ๆ ภายในสังคม
การจัดกิจกรรมขึ้นในพื้นที่ชุมชนหนองโพ คือการสร้างสรรค์ให้เกิดการกระทำของกลุ่มคนเพื่อมาพบปะสังสรรค์และสร้างแบบแผนแนวคิดในการรื้อสร้างอัตลักษณ์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในชุมชนฯ และเชื้อเชิญผู้คนจากภายนอกให้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนฯ ด้วยกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ อาทิ กิจกรรมวาดภาพบนผนังร่วมกับศิลปินทั้งจากไทยและนานาชาติ กิจกรรมการแจกสเกตบอร์ดและการเล่นสเกตระหว่างเยาวชนในพื้นที่กับโปรสเกตจากที่ต่าง ๆ กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ผลิตเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM 2.5 และกิจกรรม DJ สำหรับวัว และกิจกรรมย่อยอื่น ๆ
รูปแบบและขนาดผลงานฯ
- รูปแบบของผลงานในพื้นที่เชียงแสน Mixed media installation with inflatable air architecture no.1 8.3 x 8.3 x 12 m./ no.2 8.3 x 14 x 1 m., air pumps, Perspex glass box 10 mm. thick, 15 x 20 x 40 cm., shroud, requiem ceremony, contact microphone, USB audio interface, controller, 2-4 speakers with waterproof cases, lightings, seminar- event
พื้นที่ติดตั้งผลงานฯ: พื้นที่ภายในเขตกำแพงเมืองเชียงแสน
- รูปแบบของผลงานในพื้นที่ตำบลหนองโพ Mixed media event with mural paint, digital map, pop up market, creative economy, DJ, skate board, community collaborative paint, workshop for PM 2.5 detector making
พื้นที่ติดตั้งผลงานฯ: พื้นที่อาคารและผนัง ทั้งพื้นที่ส่วนบุคคลและพื้นที่สาธารณะบริเวณรอบชุมชนหนองโพ และพื้นที่ในการจัดกิจกรรมในชุมชน
_______________________
บรรณานุกรรม
Nagendra Bahadur Bhandari (PhD), “Diaspora and Cultural Identity: A Conceptual
Review”, Journal of Political Science 21 (February 2021): 102.
Vanessa Barlett, Katie Dyer, Nina Earl, Dr. Lizzie Mulle, Human Non Human,
Retrieved May 8,2013, from http://human-non-human.info
ประสิทธิ์ ลีปรีชา, “บทความปริทรรศน์ : กระบวนทัศน์การศึกษาชาติพันธุ์สัมพันธ์,” วารสาร
สังคมลุ่มนํ้าโขง 10, 3 (กันยายน-ธันวาคม 2557): 236.
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, “อัตลักษณ์ ชาติพันธ์ และความเป็นชายขอบ”, (กรุงเทพฯ: ศูนย์
มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน), 2546): 21.
นราธิป ทับทัน และ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, “ภูมิหลังการเคลื่อนย้ายประชากรชาวยวนเชียงแสน และ
การตั้งถิ่นฐานในบริเวณตอนกลางของประเทศไทย,” วารสารมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์ 8 ฉบับพิเศษ (ธันวาคม 2560): 23, 31.
นราธิป ทับทัน และ ชินศักดิ์ ตัณฑิกุล, “ปริทัศน์การศึกษาว่าด้วยชาติพันธุ์ไทยวน”
มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ 34 (2) (พฤษภาคม – สิงหาคม 2560): 262.
ภูเดช แสนสา, “ชาวเชียงแสนย้ายแผ่นดิน”, วารสารข่วงผญา 13, (มกราคม-กันยายน
2561): 20.
วสันต์ ปัญญาแก้ว, “ชาร์ลส์ เอฟ คายส์ กับทิศทางใหม่ในไทศึกษา,” วารสารสังคมศาสตร์
19, 1 (2550): 238.